1. ตรวจสอบระบบไฟฟ้าเป็นประจำ
ตรวจสอบสายไฟ หมั่นตรวจสอบสายไฟทั้งภายในและภายนอกบ้านว่ามีรอยชำรุดหรือไม่ สายไฟที่ชำรุดควรเปลี่ยนทันทีและตรวจสอบเบรกเกอร์และฟิวส์ ตรวจสอบเบรกเกอร์และฟิวส์ให้อยู่ในสภาพดี ไม่มีรอยชำรุดหรือสึกหรอ
2. ใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าที่ได้มาตรฐาน
เลือกใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าที่มีมาตรฐาน ตรวจสอบว่าอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ใช้งานมีเครื่องหมายรับรองมาตรฐาน (เช่น มอก. ในประเทศไทย) และปิดอุปกรณ์ไฟฟ้าเมื่อไม่ใช้งานถอดปลั๊กหรือปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ไม่ได้ใช้งานเพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดไฟฟ้าลัดวงจร
3. ป้องกันน้ำเข้าระบบไฟฟ้า
ติดตั้งกันน้ำสำหรับปลั๊กไฟภายนอกใช้กล่องกันน้ำสำหรับปลั๊กไฟหรือเต้ารับที่อยู่ภายนอกบ้านและตรวจสอบหลังคาและท่อน้ำตรวจสอบว่าหลังคาและท่อน้ำไม่มีรอยรั่วที่จะทำให้น้ำซึมเข้าไปในระบบไฟฟ้า
4. ติดตั้งอุปกรณ์ป้องกันไฟฟ้าลัดวงจร
ติดตั้งเครื่องตัดไฟรั่ว (RCD/GFCI)เครื่องตัดไฟรั่วจะตัดไฟทันทีเมื่อเกิดไฟฟ้ารั่ว ทำให้ป้องกันอันตรายจากไฟฟ้าดูดและควรติดตั้งระบบป้องกันไฟกระชาก (Surge Protector) ป้องกันอุปกรณ์ไฟฟ้าจากความเสียหายที่เกิดจากไฟฟ้ากระชาก
5. หลีกเลี่ยงการใช้อุปกรณ์ไฟฟ้ากลางแจ้งในขณะฝนตก
ไม่ใช้อุปกรณ์ไฟฟ้ากลางแจ้งในขณะฝนตกหากจำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ไฟฟ้ากลางแจ้ง ควรมีการป้องกันที่ดี เช่น ใช้เต้าเสียบที่มีกล่องกันน้ำ
6. ฝึกฝนการปฏิบัติที่ปลอดภัย
หมั่นเรียนรู้และปฏิบัติตามข้อควรระวังรู้จักวิธีการปิดเบรกเกอร์หลักในกรณีฉุกเฉิน และควรสอนให้สมาชิกในครอบครัวรู้จักวิธีการป้องกันและการปฏิบัติในกรณีฉุกเฉิน
7. หมั่นตรวจสอบและบำรุงรักษา
ตรวจสอบและบำรุงรักษาระบบไฟฟ้าเป็นประจำควรให้ช่างไฟฟ้ามืออาชีพมาตรวจสอบระบบไฟฟ้าภายในบ้านอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เพื่อตรวจสอบความปลอดภัยและประสิทธิภาพของระบบไฟฟ้า